Yokekung World

1 สัปดาห์กับ Meizu m2 note กับชีวิต mBack บน Flyme OS

หากใครเคยเล่น MP3 player น่าจะคุ้นกับชื่อ Meizu ชื่อนี้นิยมในกลุ่มคนเล่น MP3 Player เมื่อประมาณ 7-8 ปีก่อน สมัยเครื่องเล่น MP3 รุ่งเรืองและเฟื่องฟูมากๆ สำหรับยุคสมาร์ทโฟน Meizu เป็นอันดับ 1 ของผู้ผลิตสมาร์ทโฟนชั้นนำสัญชาติจีน ที่น่าจับตามอง ล่าสุดได้มีการจัดงาน blogger และส่งเครื่องให้ทดสอบ หลังจากได้มีโอกาสใช้งานมา 1 สัปดาห์ ก็เลยมาบอกเล่าให้อ่านกัน เพราะมีการเปิดขายอย่างเป็นทางการบนเว็บไซต์ Lazada วันที่ 29 กันยายนนี้ ตอน 10 โมง ถึงเที่ยง ด้วยราคาสุดพิเศษ Flash Sale เฉพาะช่วงเวลาที่กำหนดเท่านั้น


Meizu m2 note เป็นมือถือ Android 2 ซิม (Nano SIM 2 ซิม เลือกช่องนึงเป็นซิม อีกช่องให้เลือกระหว่างนาโนซิมและ MicroSD) รองรับ 4G ทั้ง 2 ซิม

อ้อ นิดนึง ตอนที่ไปงานของ Meizu m2 note โพสต์บน Facebook ไป มีหลายคนถาม เพราะเห็นคำว่า note ก็คิดว่ามีปากกา จริงๆ Meizu m2 note เป็นชือรุ่น ไม่ได้มีปากกานะครับ

ครั้งแรกที่ชมวีดีโอเปิดตัว m2 note คือแวบแรกนึกถึง iPhone 5c เลย แต่เสียดายในไทยยังไม่เอาสีสดใสเข้ามาขาย มีแต่เทากับขาว (แต่สีขาวก็สวยดีนะ) Meizu m2 note มีขอบมือถือโค้งมนแบบ R-angle curve เข้ากับรูปมือ อันนี้ยอมรับว่าจับถนัดมือจริงๆ ไม่ลื่น แต่ก็มีบางครั้งเผลอลื่นมืออยู่เหมือนกัน แนะนำให้ใส่เคสดีกว่า มีเคสให้เลือกเยอะเลย ที่ Lazada

ความแปลกใหม่ของ Meizu m2 note ก็คือ Flyme 5.0 อันนี้จะทำหน้าที่เหมือน Apple Account ที่ sync กับ cloud ได้ มี forum ถามตอบของ Flyme ด้วย แต่สำหรับการใช้งานแอพพิลเคชั่นปกติ ก็สามารถดาวน์โหลดผ่าน Google Play Store ได้ตามปกติ

เครื่องทดสอบที่ได้มาใช้งานนั้น พบปัญหาการ sync Google Contacts ไม่ได้ วิธีแก้ก็คือ การอัพเดต Flyme OS เวอร์ชั่นล่าสุด ผมใช้เวอร์ชั่น 4.5.3I อ่านวิธีแก้ได้ที่ Next.in.th

แม้จะใช้ Flyme OS แต่มันก็คือ Android 5.1 ตามปกติเนี่ยแหล่ะครับ ถ้าไม่ได้ยุ่งอะไรกับ Store จีนก็ใช้งาน Google Play ไปตามปกติ การใช้งาน แม้จะใช้หน่วยประมวลผล 64-bit CPU มีหน่วยความจำเยอะ แต่ใช้งานจริงๆก็ยังมีหน่วงบ้าง ต้องหมั่นปิดแอพที่ไม่ได้ใช้งานบ่อยๆ

สเปค Meizu m2 note

หน่วยประมวลผล 64-bit MT6753 octa-core แม้จะโฆษณาว่าลื่นไม่มีสะดุด แต่การใช้งานจริงก็มีหน่วงบ้าง แนะนำให้หมั่นปิดแอพที่ไม่ใช้ ล้างไฟล์ขยะ และปิดเปิดเครื่องใหม่ ช่วยได้ การลงแอพเยอะๆก็ยิ่งทำให้ช้า ลงเฉพาะแอพที่จำเป็นใช้งานจริงๆดีกว่า

หน้าจอใหญ่ขนาด 5.5 นิ้ว แบบ 1080P Full-HD อันนี้ชอบมาก จอใหญ่ คมชัด มองสบายตา ความละเอียด 403PPI พร้อมเทคโนโลยี GFF Full lamination ช่วยลดแสงสะท้อน และเพิ่มคุณภาพของการแสดงผลบนหน้าจอ

ว่ากันที่กล้อง เขาโฆษณาว่า Dual Flash Camera ใช้ Samsung CMOS กล้องหลังความละเอียด 13 ล้านพิกเซล ภาพคมชัด แต่เมื่อถ่ายภาพอาหาร โหมด Auto มันดูไม่ชัดนัก แต่อาจจะต้องถ่ายโหมด Manual แทน แต่ถ้าถ่ายที่มืด ภาพสวย มี Dual-Tone Flash ให้แสงในภาพมีความบาลานซ์สมจริง แม้อยู่ในที่มืด ส่วนที่บอกว่ากล้องหลังมีฟีเจอร์ Zero-Delay Shooting ตอนถ่าย ไว ไม่แลค แต่ตอนพรีวิว อาจจะต้องรอประมวลผลสักนิด ส่วนกล้องหน้ามีความละเอียด 5 ล้านพิกเซล นอกจากนี้ เทคโนโลยี FotoNation แต่งและแชร์ภาพง่าย อันนี้สะดวกดี ถ่ายภาพแล้วแต่งภาพได้เลย

เล่าเรื่องปุ่ม Home แบบ mBack สักนิด เป็นแบบสัมผัส วัสดุเป็นแมกนีเซียม อัลลอยเฟรม เคลือบด้วยโพลีคาร์บอเนต เวลาใช้ก็สไลด์นิ้วเพื่อ Back แต่ข้อเสียคือ ใช้งานหลายเครื่องแล้วมึน สลับไปใช้ Android ตัวอื่น ด้วยความเคยชินก็ไม่กดปุ่ม Back กดจะสไลด์ปุ่ม Home ท่าเดียว ฮา

ตัวบอดี้ของ Meizu m2 note ผลิตจากโพลีคาร์บอเนต ข้อดีคือตัวเครื่องบางและมีน้ำหนักเบา ไม่ต้องกลัวเป็นรอย ไม่ได้ใส่เคสด้วย เสียดายจำหน่าย สีเทาและสีขาว ถ้ามีขายสีชมพู ฟ้า เขียว เหลือง นี่ iPhone 5c ชัดๆ
ด้านหลังจะเห็นว่า มีกล้อง และ Dual Flash แต่ตัวกล้องเรียบสนิทกับตัวเครื่อง แนะนำให้ใส่เคส เพื่อป้องกันกล้องเป็นรอย

ในกล่อง ไม่มีหูฟังนะครับ ไม่ต้องแปลกใจ ร้านไม่ได้แกะกล่อง ซีลใหม่ เพื่อโฉบหูฟังไปแต่อย่างใด มีข้อความระบุชัดเจนว่า ไม่มีหูฟังมาให้นะครับ รุ่นที่ขาย ก็น่าจะไม่มีด้วยเช่นกัน เพราะเครื่องที่ได้มา ก็ได้มาทั้งกล่องครับ

Meizu m2 note มาพร้อม UI บน Flyme OS กับบริการต่างๆของจีนครบครัน ทั้ง Content, App, Theme บน Store จีน

จากภาพ จะเห็นได้ว่า Store จีนอันนี้ จะต้องล็อกอิน Flyme Account ด้วย ในการซื้อธีม โหลดธีม

Flyme OS มีแอพให้เล่นเยอะ นอกจากธีม และสโตร์ Flyme แล้ว ยังมี Painter ติดเครื่องให้เราขีดๆ เขียนๆ ด้วยนิ้วมือได้ด้วย

ฟีเจอร์ที่น่าสนใจบน FlymeOS
Traffic Manager อันนี้น่าสนใจ ใช้วัดปริมาณดาต้า การใช้เน็ต ว่าใช้ไปเท่าไหรแล้ว เราก็เอาแพ็คเกจเน็ต เช่น 2GB (2000MB) ป้อนเข้าไป ป้อนวันตัดรอบบิล ก็จะรู้ว่าใช้เน็ตไปเท่าไหรแล้ว มีการแจ้งเตือนตลอด ทำให้เราคุมการใช้งานและค่าใช้จ่ายได้

บนหน้าจอจะแสดงปริมาณการใช้งานดาต้าคงเหลือให้เรารู้ตลอด ว่าใช้ไปเท่าไหร เหลือเท่าไหร นับอีกกี่วันจะตัดรอบบิล

คีย์บอร์ดเดิมๆที่ให้มากับ Flyme OS ก็คือ TouchPal Keyboard

เลือกรูปแบบเลย์เอ้าท์แป้นพิมพ์ได้ด้วย

แต่ส่วนตัวผมถนัด Man Man Keyboard มากกว่าน่ะสิ ใครที่ถนัด TouchPal เลือก QWERTY ได้ก็เยี่ยมเลย

ในส่วนของ Tools มีเครื่องมือให้ใช้งานครบ แบบไม่ต้องโหลดแอพเพิ่ม ทั้งบันทึกเสียง Voice Search และมีส่วนของ Tips กับ FAQ ให้อ่านกันด้วย

Security Center ใช้เคลียร์แรม กำจัดไฟล์ขยะต่างๆ แนะนำให้ทำเป็นประจำ เพื่อให้เครื่องลื่น ไม่หน่วง ไม่ต้องหาแอพอะไรลงเพิ่มแล้ว

ตั้งค่า Gesture ใช้ท่าทางเพื่อสั่งงานได้

Flyme OS มาพร้อม Gesture Wakeup สามารถเคาะหรือแตะที่หน้าจอ 2 ครั้งติดกัน เพื่อเปิดไฟหน้าจอ สไลด์ขึ้นบนเพื่อปลดล็อก และกำหนดท่าทางการวาดนิ้วได้เอง

ตอนที่อยู่หน้าจอสแตนบาย ยังไม่ต้องปลดล็อก เราสามารถกำหนดได้ว่า ถ้าปัดหน้าจอไปทางขวา จะให้ทำอะไร ของผมให้เปิดแอพกล้อง จะได้่เอาไว้ถ่ายรูปได้ไว หรือบางคนจะตั้งเป็นเครื่องคิดเลข เอาไว้หารเวลากินข้าวก็สะดวกดี

แถบ notification เลื่อนนิ้วจากบนลงล่าง แสดงเต็มๆ มีเปิดปิด Wi-Fi / Cellular / ระดับแสง / ปิดเสียง / สั่น / Airplane Mode / หมุนจอ / ไฟฉาย / GPS ทำได้ทุกอย่างบนหน้าจอนี้ สะดวกมากๆ

ระหว่างนี้เราก็ทดสอบการใช้งานแบตเตอรี่ด้วย ปกติจะเป็น Balance Mode

ยิ่งเราใช้งานแอพไหนเยอะก็ยิ่งใช้แบตเยอะ อย่างในภาพ ใช้ Facebook ตลอด

ผมมีการลงแอพ Lotus Notes เช็กอีเมล์บริษัทบนเครื่องด้วย แต่ทำการตั้งค่าให้ sync ทุกชั่วโมง เพราะ 15 นาที มันเปลืองแบต

ถ้าแบตใกล้หมด ไม่มี Power Bank ไม่มีที่ชาร์จ เราเข้า Super Power-Saving Mode ได้ จะเน้นใช้โทรอย่างเดียว

หน้าจอโทร จะเห็นว่า มี Record ใช้บันทึกเสียงสนทนา ได้โดยไม่ต้องลงแอพเพิ่มเลย

สำหรับการใช้งานทั่วไป ถ้าเราไม่ได้ใช้ Store จีน ก็โหลดแอพ ซื้อแอพ ผ่าน Google Play Store ตามปกติ ซึ่งผมได้ปรับตัวเข้ากับ Flyme OS จนชิน พร้อมใช้งาน mBack ซึ่งเป็นปุ่ม Home แบบสัมผัส เวลากด Back ก็สไลด์นิ้วไปทางซ้าย ปกติสมาร์ทโฟน Android ทั่วไป จะมีปุ่ม 3 ปุ่มสำหรับ navigation คือ สลับแอพ / Home / Back

ส่วน mBack จะเป็นการใช้นิ้วสัมผัสบนปุ่ม Home ปัดไปทางซ้ายเพื่อ Back และรูดหน้าจอจากขอบจอล่างขึ้นบนเพื่อเปิด Task Manager และรูดเพื่อปิดแอพที่ไม่ต้องการใช้ หรือเคลียร์แอพที่เปิดค้างไว้ทั้งหมด จะแสดง No recent task ตามภาพ ทำได้ง่ายมาก

พอดีผมได้ Logitech K480 คีย์บอร์ด Bluetooth มาใช้ ก็เลย pair Bluetooth ด้วย ทดสอบการใช้งาน Bluetooth ไปด้วยเลย พบว่าใช้งานได้ดี ผมใช้กับแอพ Hardware Thai Keyboard พิมพ์บนคีย์บอร์ด เปลี่ยนภาษาด้วยตัวหนอนได้เหมือนพิมพ์บนคอม

ขณะทดสอบ ผมรีวิว POMO Kids Watch ก็ใช้ทดสอบ GPS ด้วยเลย

มาถึง UI ในการใช้งานกันบ้าง หน้า Home Screen ด้วยความที่หน้าจอใหญ่ ไอคอนแอพก็ใหญ่ ใช้งานสะดวก มีทางลัดให้ใช้งานอย่างเช่นการจดบันทึก การค้นหาบน Google หน้าจอแรกมีการเข้าถึง AppCenter, Personalize ของทาง Flyme Account

จากการใช้งาน 1 สัปดาห์ แบตเตอรี่ใช้งานได้นาน (3100mAh) ขึ้นอยู่กับการเปิดหน้าจอค้างไว้นานไหม ใช้แอพอะไร ใช้กล้องเยอะไหม อยู่ได้ทั้งวัน ใช้ 4G/Wi-Fi ปิดเปิดหน้าจอตลอด ถ่ายรูป ใช้ Facebook LINE/E-Mail เป็นหลัก หลายครั้งที่ผมใช้จนแบตเหลือ น้อยกว่า 10% จนเข้า Super Power-Saving Mode น่าประทับใจกับความอึดของแบตเตอรี่ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการใช้งานของแต่ละคนด้วยครับ

ตัวอย่างภาพถ่าย

Meizu m2 note รองรับการถ่ายภาพหลายโหมด ทั้ง Auto / Manual มีโหมด Beauty ถ่าย Panorama / Light field ถ่ายแล้ว refocus เลือกโฟกัสอีกครั้ง อันนี้สะดวกดี แต่มือต้องนิ่ง สแกน QR Code ได้เลย ไม่ต้องหาแอพเพิ่ม และถ่าย Slowmotion ได้

เลือกอัตราสัดส่วนภาพเป็น Square ได้ (แต่ตอนนี้ Instagram รองรับภาพแบบปกติแล้วนะ)

โหมดออโต้ ภาพไฟนีออนออฟฟิศ ผักเป็นแบบไฮโดรอยู่แล้ว สีก็แบบนี้

โหมด light-field คือการถ่ายหลายภาพ (มือต้องนิ่ง) เพื่อเอามาเลือกโฟกัสภาพอีกครั้ง ซึ่งภาพนี้ (บน) เลือกจากการ Refocus ถ้าเปิดในคอมเราจะเห็นว่า กล้องจะถ่ายภาพไว้เยอะมาก ทั้งหลายสภาพแสง และหลายโฟกัส หลุดโฟกัส เพือให้เราเลือก คอนเซ็ปต์เป็นการนำภาพมาซ้อนกันนั่นเอง

ภาพนี้ถ่ายในสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT แสงสวยอยู่

ภาพนี้โหมด Pepper เอ้ย ไม่ใช่ ถ่ายในงาน IT iTrene by Thaiware

Zoom เข้าไป ภาพก็ยังสวยและคมชัด แม้จะมีเม็ดๆบ้าง แต่ก็ยังอ่านรายละเอียดรู้เรื่อง

ถ้าแสงดีๆ ภาพสวยคมชัดดี แม้ Meizu จะมั่นใจกับสเปคกล้อง แต่การใช้งานจริง ต้องขึ้นอยู่กับ สภาพแสง และผมก็เจอ error ตอนที่เสียบสาย USB กับคอม แล้วเปิดกล้องเพื่อถ่ายรูป จากนั้นดึงสาย USB ออก พบว่าไม่สามารถเข้าใช้งานกล้องได้ แม้จะปิดแอพทั้งหมดแล้วก็ตาม ต้อง restart เครื่อง ก็สามารถใช้งานได้ตามปกติ

ส่วนการโฟกัส จะต้องกำหนดตำแหน่งโฟกัส แนะนำให้ใช้โหมด light-field น่าจะสวยกว่าโหมด Auto

โหมด Panorama ถือกล้องแนวตั้งแล้วเลื่อนขยับไปช้าๆ

ถ่ายใกล้ๆบ้าง

ถ่ายระยะใกล้ คมชัดมาก ให้สีสมจริง

แสงในห้าง (Center One) สวย

แซลมอนจากร้าน Q แซลมอน (ค้นหาได้บน Facebook)

สังเกตว่าโหมดการถ่ายแบบ Auto ถ่ายภาพอาหารไม่น่าอร่อยนัก แนะนำให้ใช้โหมด Manual ปรับเอง หรือใช้ light-field เพื่อ re-focus เลือกตามที่เราต้องการแทน

ถ่าย Slow Motion ชมคลิป

จากที่ได้ใช้งาน 1 สัปดาห์ ประทับใจการใช้งาน 4G ผมใช้งานเป็นเครื่องหลัก เช็กเมล์บริษัท ทำงาน ต่อคีย์บอร์ด นั่งทำงานแทนคอมพิวเตอร์ ถ่ายรูป เล่น Social แบตก็อึด สะดวกและใช้งานง่าย และชินกับ Flyme OS กับปุ่ม mBack ไปซะแล้วสิ ชอบจอใหญ่ จอสวย สดใส อ่านง่าย มองสบายตา

ถ้าให้คะแนนความคุ้ม ผมให้ 9/10 ตัดข้อผิดพลาดเล็กๆน้อยๆ ความหน่วงในบางลีลา ปิดแอพไม่จำเป็นก็โอเคแล้ว การใช้งานทั่วไป คุ้ม ถ้าอยากได้มือถือ 2 ซิม รองรับ 4G ทุกค่าย Meizu m2 note คุ้มแหล่ะครับ

สำหรับในประเทศไทยนั้น Meizu Technology ได้เปิดตัว m2 note แบบ official ครั้งแรกในประเทศไทย โดยวางขายแบบเอ็กคลูซีฟที่เดียวที่ลาซาด้า เฉพาะวันที่ 29 กันยายนนี้ ระหว่างเวลา 10.00 – 12.00 น. สามารถซื้อ Meizu m2 note ได้ในราคาเพียง 5,990 บาท สีเทาและสีขาว สั่งซื้อ

Facebook Group ผู้ใช้ Meizu m2 note

สำหรับการรับประกัน Lazada แจ้งรายละเอียดว่า ใบเสร็จรับเงินจากลาซาด้า ถือเป็นใบรับประกันสินค้า ลูกค้าสามารถส่งสินค้าเพื่อรับบริการที่ศูนย์บริการหลังการขายไ­ด้ด้วยตัวเองหรือผ่านทางไปรษณีย์ ส่งศูนย์ SIS นั่นเอง

Exit mobile version