อยากเล่นเน็ตบนมือถือ Truemove เติมเงิน เลือกยังไงดี

หลายๆคน อยากจะหามือถือเอาไว้ต่อเน็ต เวลาอยู่ข้างนอก ตอนนี้มือถือพวก Features Phone หลายรุ่นที่ต่อเน็ตได้ แถมเล่น Facebook, Twitter, Chat, E-Mail ได้อีก และเชื่อว่า หลายๆคน ก็อาจจะใช้มือถือแบบเติมเงินอยู่ เพราะไม่อยากจะจ่ายรายเดือน หรืออยากหาซิมเพิ่ม แต่ไม่อยากผูกมัดเพราะแต่ละเดือนใช้ไม่เท่ากัน แล้วก็ยังมีคำถามว่า แล้วถ้าอยากจะใช้มือถือเติมเงินเล่นเน็ตล่ะ จะเลือกยังไง บางคนไม่เคยใช้มือถือแบบเติมเงิน ไม่เคยเลือกมือถือเล่นเน็ต ดูมันวุ่นวายๆ สับสนกับโปรมากมาย ละลานตาไปหมด เลือกยังไงดีเนี่ย >__<”]

ทำไมต้อง Truemove เติมเงิน????

เพื่อเป็นการควบคุมปริมาณการโทร และการใช้เน็ต ผมจะบอกข้อดีว่า ทำไมควรจะใช้ Truemove เติมเงิน ก็เพราะว่า คุณไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินเยอะ ถ้าสถานที่ใดมีการให้บริการ Wi-Fi ก็สามารถนำเอารหัส Wi-Fi มาใช้งานได้ ไม่ต้องใช้ EDGE ประหยัดลงได้อีก ส่วนสถานที่ใดที่มี 3G ก็ใช้งานผ่าน 3G ได้เช่นกัน อ้อ ลืมบอกไปว่า มือถือควรจะรองรับ 3G เครือข่าย 850MHz ด้วย ไม่เช่นนั้นก็จะใช้ได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ เพราะจะใช้งานได้เฉพาะ EDGE / Wi-Fi แต่จะใช้ 3G ไม่ได้ เพราะตัวเครื่องไม่รองรับ (อย่ามาโทษเครือข่ายเค้านะจ๊ะ)

ยิ่งคิดยิ่งปวดหัว แบบเติมเงิน เติมเงินแล้วยังไง มีแบบคิดเป็นนาที กับแบบเป็นกิโลไบต์อีก ต้องบอกว่า วิธีการคิดค่าบริการของมือถือแบบเติมเงิน มันจะไม่เหมือนกับรายเดือนตรงที่ว่า มีค่าโทร SMS MMS Internet ให้ครบ เพราะมันจะต้องสมัครโปรเล่นเน็ต แล้วไม่รวมค่าโทร ค่าส่ง SMS, MMS อีก นี่ยังไม่รวมว่าถ้าใช้เกินหรือเน็ตรั่วเพราะไม่รู้วิธีปิด APN Internet นอกจากนี้ BlackBerry ก็เป็นปัญหามาก เพราะใช้โปรนี้ แล้วดันไปใช้แอพที่ต่อเน็ต แล้วมันไม่รวมในโปรโมชั่นก็เสียเงินเพิ่มนอกเหนือจากค่าเหมาจ่าย

ดังนั้น ให้คิดแบบง่ายๆคือ ลองดูว่าเราใช้งานอะไรบ้าง แล้วเติมเงินเผื่อไว้หักโปรค่ารายเดือนและค่าโทร ค่า SMS ด้วย เช่น ผมเติม 800 บาท เพื่อให้หักโปรโมชั่น และเผื่อไว้เป็นค่าโทร และค่าส่ง SMS, MMS และเผื่อขาดเกินเล่นเน็ตเกินโปรโมชั่น แต่อย่าเติมเงินเยอะ เพราะถ้าเน็ตรั่วก็คือคิดนอกโปรโดยหักเงินในมือถือจนหมด (อ้อ เงินที่เติม นั่นคือจำนวนเต็ม แต่ค่าโปรโมชั่น ที่หักรายเดือน ก็จะต้องเผื่อไว้หัก VAT ด้วยนะครับ)

 

เลือกแบบไหนดี

อันดับแรก ดูก่อนว่า จุดประสงค์ที่เอามาใช้งาน เพื่ออะไร

– ต่อเน็ตให้โน้ตบุ๊กผ่าน Air Card, Mi-Fi

– เอามาใส่มือถือ ให้ดูว่า ถ้าเป็น iPhone4, iPad1,2 ให้ใช้ MicroSIM หรือเอาซิมแบบธรรมดามาตัดเองหรือให้ร้านตัดให้ก็ได้

– ดูว่าเราใช้แอพพลิเคชั่นใด เช่น เน้นใช้ Social Networks ผ่าน Facebook, Twitter, FourSquare, Whatsapp, Email แล้วคำนวณการใช้งาน

– ดูพฤติกรรมของเรา เช่น เล่นบนรถ ตอนรถติด เล่นที่ทำงานก็ใช้ Wi-Fi ฟรี เล่นที่บ้านก็ปล่อยสัญญาณจาก Hi-Speed Internet ดังนั้น เวลาที่เราใช้เน็ตบนมือถือ ก็คือระหว่างเดินทาง หรืออยู่ข้างนอก

– ถ้าไปใช้งานโน้ตบุ๊ก iPad ในร้านกาแฟบ่อยๆ จะมีของ CAT Wi-Fi, True Wi-Fi, 3BB, KSC ให้ใช้ หากเรามีรหัสก็เอามาใช้ได้เลย

– ถ้าใช้งานบนมือถือ แค่เช็กอีเมล์ หลักๆไม่ได้อยู่ใกล้มือถือเลย เช่น พนักงานที่บริษัทให้เอามือถือใส่ Locker ถ้าแบบนี้จะแทบไม่ได้ใช้เน็ตในช่วงเวลาทำงานเลย

– โปรโมชั่น BlackBerry แยกต่างหากจาก NET SIM เพราะต้องใช้ผ่าน APN BlakcBerry เท่านั้น หากต้องการใช้งานแบบเต็มสตรีม แนะนำให้ใช้โปรโมชั่น Unlimited

– ศึกษาโปรโมชั่นให้เข้าใจ ว่าใช้แอพไหนได้บ้าง และศึกษารายละเอียดตัวเครื่องเรา ว่าใช้ 3G ค่ายใด และใช้แอพอะไรได้บ้าง มีคุณสมบัติใด เช่น BlackBerry 8520 ไม่มี GPS ก็ต้องปรับแต่งให้ใช้งานได้หรือสอบถามพนักงานก่อน

– ดูว่าพฤติกรรมเราใช้งานแบบไหน เช่น ชอบดาวน์โหลด ชอบดู youtube ชอบฟังเพลง ชอบลงแอพ ชอบเล่นเกม ชอบแช็ต ชอบเล่นเว็บบนมือถือ ชอบเข้ากระทู้ต่างๆ

แพ็คเก็จเน็ต Hi-Speed Net SIM ของ Truemove จะมี 2 อย่างคือ แบบ คิดเป็นจำนวนเวลาในการใช้งาน แบบนี้จะคิดค่าบริการเป็นนาที และแบบคิดตามปริมาณการใช้งานเป็นเม็กกะไบต์

เอาล่ะสิ งงเข้าไปใหญ่ o_O’] ต้องดูว่าการใช้งานของคุณเป็นอย่างไร

หากพฤติกรรมของคุณเป็นแบบนีั้

ตื่นเช้า เช็กเมล์ Facebook Twitter Chat บนมือถือ แต่ใช้ Wi-Fi ที่บ้าน ไม่ได้ต่อเน็ตผ่าน EDGE / 3G เข้าออฟฟิศก็ใช้ Wi-Fi ออฟฟิศ กินข้าวก็ใช้ 3G/EDGE จะใช้เน็ตบนมือถือจริงๆก็ เช้า ตอนเดินทาง กลางวันกินข้าวพักเที่ยง แล้วก็เย็นตอนกลับบ้าน ถึงบ้านก็ใช้ Wi-Fi บ้าน แบบนี้ช่วงเวลาที่ใช้เน็ตบนมือถือผ่าน EDGE/GPRS อาจจะไม่มาก เดือนนึง 50 – 100 ชั่วโมงก็ถมเถ นั่นคือถ้าต่อเน็ต Wi-Fi ประจำ แบบนี้เสียค่าเน็ตไม่แพง (แต่ไปเสียค่า hi-speed ที่บ้านแทน)

แต่ถ้าใช้ iPad, Samsung Galaxy Tab, Acer iconia tab หรือ Tablet รุ่นอื่นๆ หรือใช้ Netbook ต่อเน็ตเวลาอยู่ข้างนอก อันนี้ก็ใช้มือถือเพื่อกระจายสัญญาณเป็น Wi-Fi Hotspot หรือใช้ Mi-Fi หรือ Air Card ถ้ากลุ่มนี้จะใช้การรับส่งข้อมูลเยอะกว่าการใช้งานบนมือถือ

แล้วแบบนี้ จะใช้แบบ คิดเป็นนาที หรือเม็กกะไบต์ดีล่ะ ไปดูตารางนี้เลย

คลิกที่ภาพเพื่อดูรูปใหญ่

ในภาพจะบอกคร่าวๆ ว่าควรเลือกแพ็คเกจแบบใด แต่ผมจะบอกในการใช้งานจริง เพราะผมใช้แต่ Unlimited เพราะแพงหน่อยแต่ไม่ต้องกลัวว่าใช้เยอะแล้วเน็ตรั่วจนเงินหมดเกลี้ยง

ลองมาดูกันว่า เราเลือกแพ็คเกจไหน ใช้อะไรได้บ้าง เริ่มการโปรโมชั่นที่คิดตามปริมาณการใช้งานเป็นนาที

ยกตัวอย่างโปรโมชั่น Hi-speed Net SIM แบบคิดเป็นนาที

คุณต้องเติมเงินเผื่อ เพื่อหักค่าบริการรายเดือน 99 บาทต่อเดือน ใช้ Wi-Fi / EDGE / GPRS รวมกัน 30 ชั่วโมง (เฉลี่ยนาทีละ 6 สตางค์ – มันก็บาทสองสลึงนั่นเอง) แบบนี้มาพร้อม 3G 5 ชั่วโมง ถ้าไม่ใช้ก็แนะนำให้ปิด 3G บนมือถือก่อน ใช้ EDGE ไป แต่ก็มีอีกแบบคือ นาทีละ 25 สตางค์ อันนี้ถ้าเราปิดๆ เปิดๆ บ่อยก็มั่นใจว่าเน็ตไม่รั่วก็ประหยัดดี ค่าโทรก็ถูก นาทีละ 1 บาท โทรได้ทุกเครือข่ายเลย ส่วน SMS / MMS ครั้งละ 1.25 บาท ถูกสุดๆ เพราะปกติ MMS จะแพงกว่านี้ และบางโปรโมชั่น SMS 2 บาท แต่ถ้าเล่น Wi-Fi / EDGE / GPRS แบบนาทีละ 25 สตางค์ ก็จะนับไปเรื่อยๆ ตามการใช้งานของเรา (แบบนี้ไม่มีขั้นต่ำแต่ใช้เยอะก็จ่ายเยอะ)

ถ้าเป็นแบบนี้ เราต้องตอบคำถามก่อนว่า เน้นใช้เน็ต หรือชอบโทร หรือชอบส่ง SMS กันแน่ ถ้าชอบแบบไหนก็เอาโปรที่บริการนั้นถูกที่สุด จะคุ้มค่ากับเรา แต่บอกไว้ก่อนว่าโปรเน็ต มักจะมีค่าโทรแพง (แต่อย่างแพงก็ 1 บาท ไม่ใช่ 75 สตางค์)

ส่วนข้อความที่ต่อมาที่น่าสนใจคือ เติมเงิน 50 บาท ใช้งานได้นาน 30 วัน แต่จริงๆ จะต้องเติมเงินมากกว่านี้ เพราะให้หักค่าโปรโมชั่นแพ็คเก็จ 99 บาทด้วย แล้วก็จะต้องเผื่อค่าโทร ค่า SMS, MMS อีก แต่ถ้าใครใช้เฉพาะเล่นเน็ตอย่างเดียว ไม่ใช้โทร หรือใช้เครื่องหลักหรือเบอร์หลักโทรก็ไม่ต้องเสีย จ่ายแค่ 100 ต่อเดือนก็ได้ หรืออยากจะเติม 50 บาท 2 รอบก็ยังได้

และอีกโปรคือ 99 บาทต่อเดือน ใช้งาน Wi-Fi / EDGE / GPRS ได้ 20 ชั่วโมง มันคือการนับนาทีไปเรื่อยๆจนครบ ฟรี 3G 5 ชั่วโมง นั่นคือ หากใช้ 3G เกินระยะเวลาที่กำหนด ก็จะถูกคิดเงินเพิ่ม

แนะนำว่า ถ้าใช้โปรแบบนี้ อย่าเอาไปต่อเน็ตผ่าน Wi-FI Tethering บน SmartPhone, iPhone, BB, Android แล้วกระจายสัญญาณให้คอมพิวเตอร์เพราะมันจะเปลืองค่านาทีเยอะ เอาจริงถ้าจะแชร์เน็ต ผมใช้ Unlimited โลด แต่ถ้าใช้แบบเติมเงินต้องรู้วิธีปิดเน็ตไม่ให้รั่ว

ดังนั้น หากจะใช้ต่อเน็ตที่บ้าน แนะนำให้ใช้โปร Unlimited แทนดีกว่า

การใช้เน็ตบนมือถือแบบคิดเป็น “นาที” เหมาะกับการใช้งานที่ไม่ได้เน้นการเล่นเป็นระยะเวลานานๆได้ เพราะไม่ว่าในแต่ละนาทีที่เราใช้ เราจะใช้ 3G มีปริมาณการ upload, download แค่ไหนก็ไม่ต้องห่วงว่าจะสูบข้อมูลหลายกิโลไบต์ จะต้องจัดการและบริหารการใช้งานให้ดี เพราะไม่เช่นนั้น เน็ตรั่ว เพราะใช้จำนวนนาทีหมดก่อนถึงระยะเวลาสิ้นสุดโปรโมชั่น อย่ามาโวยวายตีโพยตีพายว่าผู้ให้บริการ “โกง” “มั่ว” เพราะบางครั้ง คุณนั่นแหล่ะที่เผลอลืมปิด browser หรือปิดแอพต่างๆ

เรื่องของขนาด

จั่วหัวซะน่ากลัว ไม่ใช่ขนาดแบบน้านนนนนน >_<” ตอนนี้ซิม บนมือถือจะมี 2 แบบ มือถือปกติจะเรียกว่า SIM Card แต่ถ้าใช้กับ iPhone4, iPad1, iPad2 จะเรียกว่า Micro SIM

เลือกให้ถูกต้องกับการใช้งานของเราและควรจะนำเครื่องไปให้ที่ร้านลองใส่ดูให้ ไม่ใช่ว่าซื้อซิมแบบปกติ แต่ยัดใส่ใน iPhone4, iPad ไม่ได้ (แต่ก็สามารถให้ร้านตัดซิมให้ได้เช่นกัน)

อีกแบบ คือเป็นแพ็คเก็จที่สมัครเป็นรายเดือน แต่เราจะต้องเติมเงินเผื่อไว้ เช่น โปรโมชั่น 99 บาท จะต้องเติมเงินอย่างต่ำ 100 – 150 หรือเติมไว้ 200 – 300 บาท เผื่อไว้หักค่าโทร ค่าส่ง SMS / MMS เพราะไม่รวมในโปรโมชั่น นั่นคือเมื่อเติมเงิน 300 บาท จะหัก 99 บาทออกไปเป็นค่าแพ็คเก็จ แล้วที่่เหลือใช้โทรและ SMS, MMS

หากสมัครแพ็คเก็จนี้แบบรายเดือน (สมัครทีเดียวแล้วหักอัตโนมัติทุกเดือน) ผู้ใช้จะต้องเติมเงินให้เพียงพอกับการหักเงิน หากไม่เติมเงินให้พอ ระบบหักเงินไม่ได้ ก็จะหักตามเงินที่เรามีอยู่ในมือถือตามโปรโมชั่นปกติ หักไปเรื่อยๆ จนเงินในมือถือเราหมด ดังนั้น จึงอยากจะแนะนำว่า ควรจะใช้โปรแบบ กลางๆ ค่อนไปถึงโปรบนสุด เพราะ เหลือดีกว่าขาด หากใช้เกินจากโปรโมชั่น จะต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมอีกบาน

ทำไมเน็ตรั่ว

หลายๆคนโวยวาย ว่าเน็ตรั่ว จ่ายแพง ดูดเงินจนหมด ไอ้ขี้โกง บลาๆๆๆ หารู้ไม่ว่า แอพพลิเคชั่นที่ตนเองใช้ ถูกกำหนดให้ตรวจสอบข้อมูลตลอดเวลา เช่น เช็คอีเมล์ หรือ Social Networks ต่างๆ แล้วไม่รู้วิธีปิด

หากเป็น iPhone แนะนำให้ใช้โปรโมชั่นแบบรายเดือน 599 ของ Truemove เพราะมี Wi-Fi, 3G, EDGE, GPRS ใช้ไม่จำกัด หมดห่วง ยอมจ่ายเดือนละ 599 มีค่าโทรให้ มี SMS / MMS ฟรีรวมในโปรโมชั่น

แต่ถ้าใช้ Android แนะนำให้ใช้ APNDroid ลงแอพเพื่อปิด APN Internet ผมใช้แบบนี้สะดวกดี หรือเป็นซิมสำรองเพื่อเอาไว้ใช้ฉุกเฉินได้ เช่น 20 ชั่วโมง 99 บาท ซื้อไว้ใช้ในบางสถานที่ที่ค่ายอื่นอับสัญญาณ ไม่ใช้ก็ถอดซิมเก็บไว้ ก็ไม่ต้องเปลืองนาทีใช้เน็ตแล้ว

(เชื่อว่า หลายๆคนคงจะใช้งานมือถือ มีซิมหลายค่ายอยู่) ดังนั้น เน็ตรั่ว มันอยู่ที่การใช้งานของเรา แต่ถ้าผิดพลาดก็ให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบใช้ ดูที่การใช้งานของเราก่อน

ส่วน BlackBerry นี่น่าปวดหัวที่สุด เพราะว่า หากเป็นโปรโมชั่นที่ใช้ Chat จะเล่นบางอย่างไม่ได้ เช่น Whatsapp, FourSquare, Gowalla หรือเปิดเว็บ จะต้องใช้งานผ่าน BlackBerry Internet Service APN เท่านั้น หากใช้งานมากกว่านั้นจะต้องเสียเงินเพิ่ม ซึ่งหลายคนไม่รู้ อีกปัญหาคือสมัครแพ็ค 3 วัน 7 วัน ผมล่ะงง เพราะเกิดมันสมัครไม่ผ่านก็จบเลยนะนั่นเพราะไปคิดเงินจากมือถือเราเลย

แนะนำอีกอย่างคือ Wi-Fi หากไม่ได้ใช้โปร EDGE / GPRS / 3G หากบริเวณนั้นมี Wi-Fi ฟรีก็ใช้ฟรี หากมี @TRUEWIFI ก็ใช้ Wi-Fi by Truemove ได้เช่นกัน จะได้ไม่ต้องเสียเงินค่าเน็ตเยอะเลย เอาไว้ใช้แค่ตอนฉุกเฉินเท่านั้น

รายละเอียดเพิ่มเติม

ส่วนใครที่กำลังมองหาโปรโมชั่น SmartPhone แบบนี้ต่างจากโปรข้างต้นคือ คิดค่าบริการตามปริมาณการใช้งานคือ 2 บาท ต่อ 1 MB ส่วน Wi-Fi นาทีละ 25 สตางค์

ค่าโทรนาทีละ 1 บาท ทุกเครือข่าย ตลอด 24 ชั่วโมง SMS 1 บาท MMS 2 บาท แบบนี้คือ ใช้เยอะก็จ่ายเยอะ ไม่ใช้ก็ปิดการใช้งานอินเทอร์เน็ตไว้ดีกว่า

เพราะถ้าใช้เยอะ หรือปล่อยให้เน็ตรั่ว เงินที่เติมก็หมดได้เหมือนกัน อ้อ อีกอย่างคือ ราคาไม่รวมภาษี ดังนั้น หากบอกว่า 2 บาท ต่อ MB ก็ต้องบวกภาษีเพิ่มไปอีกเช่นกัน

 

ซิม Hi-Speed Net SIM แบบเติมเงิน คิดค่าบริการเป็นเม็กกะไบต์

คือคิดตามปริมาณการใช้งาน (Upload, Download ของเรา) ช่วงไหนไม่มีการรับส่งข้อมูลก็จะไม่มีการคิดค่าบริการ

แนะนำว่า ใครที่ใช้งาน สมาร์ทโฟน มือถือ แท็ปเล็ต ให้ใช้ซิมแบบคิดเป็นเม็กกะไบต์

แต่จะต้องรู้วิธีปิดเน็ต เพราะบางแอพ มีการรับส่งข้อมูลตลอดเวลา เช่น อีเมล์ เช็คข้อความใหม่ทุก 10 นาที หรือ Social Network ต่างๆ

การแช็ต การสนทนาผ่าน VoIP การใช้งาน data ต่างๆ เล่นเน็ตเม็กละ 2 บาท ถ้าเล่นประมาณ 500MB ซึ่งการใช้งานปกติไม่ถึงอยู่แล้ว ถ้าไม่ได้ดู Straming VDO Youtube (หากใช้บริการพวกนี้แนะนำให้ต่อกับ Wi-Fi ที่บ้านหรือออฟฟิศแทน จะประหยัดกว่า) ถ้าไม่ใช้อะไรมากเราก็ใช้ไม่กี่เม็กอยู่แล้วถ้าไม่ได้ Upload VDO ก็ไม่ได้ใช้อะไรมาก

โปรโมชั่นคือใช้ EDGE/GPRS ได้ 30MB และ 3G 100MB Wi-Fi 1 ชั่วโมง

เติมเงิน 50 บาท ใช้งานได้ 30 วัน สบายๆ แต่จริงๆต้องเติมเงินเผื่อให้หักค่าบริการแพ็คเกจด้วยเช่นกัน

หากต้องการประหยัดค่าเน็ต สมมตว่าใช้ 20 ชั่วโมง ไม่ใช้ก็ปิดไว้ มี Wi-Fi บ้าน ออฟฟิศก็ต่อ ไม่ต้องเปิดเน็ตบนมือถือก็ประหยัดดี

บางคนใช้ซิมต่อกับ Aircard หรือมือถือสมาร์ทโฟนที่ไม่ได้ใช้โทรอยู่แล้ว ค่าโทรก็ไม่ต้องจ่าย จ่ายเฉพาะค่าเน็ต ค่าโทรเอาไว้จ่ายอีกซิมที่เป็นซิมที่เราเอาไว้ใช้โทรเข้ารับสายก็ได้

สมัคร Hi-Speed Net SIM แบบคิดเป็นเม็กกะไบต์ จะสมัครครั้งเดียวแต่เก็บค่าบริการทุกเดือน ดังนั้นต้องเผื่อเงินไว้เติมให้หักค่าแพ็คเก็จ เช่น แพ็คเกจ 699 บาท

ต่อเดือน ใช้ EDGE / GPRS ได้ 3GB อันนี้เหลือๆอยู่แล้ว ใช้ Wi-Fi ได้ไม่อั้น ฟรี 3G ได้มากถึง 3GB แล้วได้เพิ่มอีก 100MB

 

รายละเอียด

 

เลือกซิมเล่นเน็ตแบบไหนดี คิดเป็นนาที หรือคิดเป็นเม็กกะไบต์

ปัญหานี้เป็นคำถามสำหรับทุกคน สำหรับการใช้งานอินเทอร์เน็ตบนมือถือ โดยเฉพาะความที่เราเคยชินกับการเล่นเน็ตออฟฟิศฟรี เล่นเน็ตบ้านแบบไม่จำกัด พอมาคิดเป็นนาทีหรือปริมามาณการใช้งานก็มีปัญหาเรื่องเน็ตรั่ว นั่นเพราะไม่รู้วิธีปิดเน็ตนั่นเอง บางทีคิดว่า ปิด browser แล้ว แต่จริงๆคือแค่พักแอพหรือโปรแกรมไว้เฉยๆ ไม่ได้ปิดจริงๆ

อยากให้ดูการใช้งานกัน สำหรับผมเอา NET SIM มาใช้กับ Mi-Fi เพื่อกระจายสัญญาณให้ iPad, Samsung Galaxy S ดังนั้นเราไม่ต้องสมัครแพ็คเก็จเน็ตบนมือถือและไอแพด แต่เราใช้วิธีการเปิด Mi-Fi กระจายสัญญาณ Mi-Fi ส่วนตัวผมใช้โปรรายเดือนแบบ 649 บาท ใช้ Unlimited ทั้ง 3G, Wi-Fi, EDGE ได้หมด แถมมีค่าโทรและ SMS, MMS รวมไว้แล้วด้วย

คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์ในการเลือกซื้อ Net SIM แบบเติมเงินนะครับ ขอให้มีความสุขกับเน็ตไร้สายบนอุปกรณ์โปรดของคุณ